วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สมาชิก สป.ร้องสอบประธานฯ จัดซื้อจัดจ้างไม่โปร่งใส




สมาชิก สป.ร้องสอบประธานฯ จัดซื้อจัดจ้างไม่โปร่งใส
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์29 มิถุนายน 2554 16:26 น.

นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา รับมอบเอกสาร จาก นายชาญยุทธ์ เจนธัญญารักษ์ กล่าวโทษพบปัญหาความไม่โปร่งใสและไม่ชอบด้วยกฎหมายของ นายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนางสาวเยาวลักษณ์ สุขวิวัฒนพร ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาที่ปรึกษาฯ ( 28 มิ.ย. 54 )

สมาชิก สป.ร้องทุกข์กล่าวโทษประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต่อคณะกรรมาธิการ 2 คณะของวุฒิสภา สภาหอการค้าไทย ป.ป.ช. และ สตง.พบจัดซื้อจัดจ้างโครงการสำรวจความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจและสังคม ไม่โปร่งใสและไม่ชอบด้วยกฎหมาย 
      
       วันที่ 28 มิถุนายน 2554 นายชาญยุทธ์ เจนธัญญารักษ์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ พร้อมคณะสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ อีก 3 คนเปิดเผยว่า คณะทั้ง 4 คนได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษนายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ น.ส.เยาวลักษณ์ สุขวิวัฒนพร ถึงการกระทำไม่โปร่งใส ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยได้ยื่นต่อ 5 หน่วยงาน คือ คณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา สภาหอการค้าไทย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
      
       โดยที่ในปัจจุบันทุกภาคส่วนของประเทศไทยให้ความสำคัญกับการรณรงค์ต่อต้านและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมไทยและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเยาวชนในอนาคต ในส่วนของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจและสังคม โดยมิใช่เป็นองค์กรเพื่อต่อรองผลประโยชน์ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดกลับพบปัญหาความไม่ชอบมาพากลไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง โครงการศึกษาและสำรวจความคิดเห็นในประเด็นเชิงนโยบาย หรือเชิงสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและสังคม มูลค่า 3,000,000 บาท ซึ่งสร้างความเสียหายต่อทางราชการ ดังนั้น ในฐานะสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสีย จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา เพื่อดำเนินการตรวจสอบ ตลอดจนดำเนินคดีกับบุคคลที่สร้างความเสียหายต่อทางราชการต่อไป
      
       ทั้งนี้ วันที่ 29 กันยายน 2553 สำนักงานสภาที่ปรึกษาฯ โดย น.ส.เยาวลักษณ์ สุขวิวัฒนพร ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาที่ปรึกษาฯ ได้ทำสัญญาจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเป็นที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการศึกษาโครงการฯ ดังกล่าว โดยใช้วิธีตกลงแทนวิธีคัดเลือกหรือประกวดราคา ทั้งที่การจัดจ้างที่ปรึกษากรณีดังกล่าวเกินวงเงิน 100,000 บาท แต่ได้ทำการจัดจ้างโดยใช้วิธีตกลง โดยไม่ใช้วิธีคัดเลือก ทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏว่าการจัดจ้างในครั้งนี้เป็นการจัดจ้างที่ต้องกระทำเป็นการเร่งด่วน หากล่าช้าจะเสียหายแก่ราชการ ประกอบกับเมื่อตรวจสอบผู้รับจ้างแล้วก็ไม่พบว่ามีความสามารถหรือเชี่ยวชาญในการทำงานนี้ มีจำนวนจำกัดแต่เพียงผู้เดียวหรือมีความชำนาญมากกว่าหน่วยงานหรือสถาบันอื่นๆ เป็นพิเศษ เท่าที่ตรวจสอบได้ พบแต่สาขาที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นที่ปรึกษาในกระทรวงการคลัง ด้านอุตสาหกรรมและ Water Supply and Sanitation Sector เท่านั้น ดังนั้นการจัดจ้างโดยวิธีตกลงในครั้งนี้ จึงเป็นการจัดจ้างอย่างไม่โปร่งใสและไม่เป็นธรรม ทำให้ไม่มีผู้แข่งขันรายอื่นเพื่อให้ทางราชการพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุดและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการสูงสุด การจัดจ้างโดยใช้วิธีตกลงจึงไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
      
       นอกจากนี้ ในฐานะสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ เท่าที่ตรวจสอบได้ยังตรวจสอบพบด้วยว่า นายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้รับจ้าง โดยเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยดังกล่าว และขณะเดียวกัน นายโอกาส เตพละกุล ก็ยังเป็น กรรมการบริษัท โตโยตรอน มอเตอร์ จำกัด ซึ่งได้ร่วมมือกับผู้รับจ้างพัฒนารถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า "โตโยตรอน" จำหน่ายในท้องตลาด ดังที่แถลงข่าวในเดือนกรกฎาคม 2551 และอีกทั้งสมัยเป็นประธานคณะทำงานโครงสร้างพื้นฐาน ในสมัย สป.ชุดที่ 2 นายโอกาส เตพละกุล ก็ได้เคยจัดจ้างมหาวิทยาลัยฯดังกล่าวในการทำงานวิจัยให้คณะฯ มาแล้ว
      
       ดังนั้น ในฐานะประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.สภาที่ปรึกษาฯ 2543 มาตรา 10 ได้บัญญัติว่า สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นองค์กรสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจและสังคมโดยมิใช่เป็นองค์กรเพื่อต่อรองผลประโยชน์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด ดังนั้นเมื่อมีการจะจัดจ้างที่ปรึกษาฯ ดังกล่าวย่อมจะต้องใช้ความระมัดระวังและ/ หรือกระทำการจัดจ้างให้เกิดความโปร่งใสเป็นพิเศษยิ่งกว่ากรณีจัดจ้างอื่น
      
       นายชาญยุทธ์กล่าวเพิ่มเติมว่าโครงการดังกล่าวเป็นที่ปรากฏจนถึงปัจจุบัน ผ่านมา 9เดือนมาแล้ว สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ จำนวนมากก็ไม่พอใจกับคุณภาพงานที่ออกมาและคิดว่าไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ดังเช่น เอกสารรายงานแจกให้สมาชิกก็ยังมิได้เป็นปัจจุบัน เช่น ฉบับเดือนมีนาคม 2554 รายงานปัญหาราคาน้ำมันปาล์มพึ่งได้นำมาแจกกันวันที่ 11 พฤษภาคม 2554 ซึ่งล้าสมัยใช้ไม่ได้แล้ว ซึ่งผิดไปจากหลักการและเหตุผลในการจัดซื้อจัดจ้าง ว่า "ในการจัดทำความเห็น และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือป้องกันปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมจำเป็นจะต้องมีข้อมูลประกอบที่ทันต่อเหตุการณ์ .............." ดังนั้น คณะสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ที่ได้เล็งเห็นถึงความถูกต้องชอบธรรมจึงขอร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการ 2 คณะของวุฒิสภา สภาหอการค้าไทย ป.ป.ช.. และ สตง. ถึงความไม่โปร่งใสดังกล่าวเพื่อจะได้ทำการตรวจสอบและดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อสภาที่ปรึกษาฯ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และเป็นตัวอย่างให้กัแก่หน่วยงานอื่นๆ ต่อไปในอนาคตด้วย
      
       นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา รับมอบเอกสารจากนายชาญยุทธ์ เจนธัญญารักษ์ กล่าวโทษพบปัญหาความไม่โปร่งใส และไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และน.ส.เยาวลักษณ์ สุขวิวัฒนพร ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาที่ปรึกษาฯ (28 มิ.ย. 54)

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000079361

1 กรกฎาคม · 11:00 - 12:00 หน้าสถานทูตมาเลเซีย ประจำกรุงเทพ สำนักงานตั้งอยู่ที่ 33-35 ถนนสาธรใต้

 เชิญร่วมประณามตำรวจและรัฐบาลมาเลย์กรณีปราบปรามนักกิจกรรมที่รณรงค์เลือกตั้งเสรีและเป็นธรรม

สืบเนื่องจาก นักกิจกรรมจากกลุ่มพันธมิตรเพื่อการเลือกตั้งเสรีและยุติธรรม และพรรคสังคมนิยมมาเลเซีย หรือ กลุ่ม Bersih ถูกตำรวจจับกุมและสอบสวนในข้อหา "ซ่องสุมกำลังเพื่อโค่นล้มประมุขของรัฐ" ตามมาตรา 122 ในระหว่างการเตรียมชุมนุมใหญ่ 9 ก.ค. เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียจัดการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม ในวันที่ 24 มิย.ที่ผ่านมา 

โดยกลุ่ม Bersih (เป็นภาษามลายู แปลว่า "สะอาด") เป็นกลุ่มแนวร่วมฝ่ายค้าน ประกอบไปด้วยพรรคการเมืองฝ่ายค้าน องค์กรเอกชน รวมถึงกลุ่มนักศึกษา แรงงาน นักสิทธิมนุษยชน และนักเขียน เพื่อเรียกร้องให้

รัฐบาลดำเนินการเลือกตั้งที่ใสสะอาด ภายใต้การรณรงค์ การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม(Free and Fair) 

ส่วน กฎหมายอาญามาตรา 122 ระบุว่า "ใครก็ตามที่มุ่งสะสมกำลังพล อาวุธ กระสุนปืน หรือตระเตรียมเพื่อปลุกปั่น ด้วยความมุ่งหมายที่จะโค่นล้มประมุขแห่งรัฐ หรือประมุขแห่งสหพันธรัฐ หรือ สนับสนุนการซ่อง

สุมกำลังเพื่อนำไปสู่การทำสงครามดังกล่าว จะถูกลงโทษด้วยการจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกไม่เกิน 20 ปี พร้อมถูกปรับ"

อ่านรายละเอียดอ่านเพิ่มเติมได้ที่

- ฝ่ายหนุนปฏิรูปการเลือกตั้งมาเลเซียถูกตั้งข้อหา "ล้มเจ้า" http://www.prachatai3.info/journal/2011/06/35694
- ตำรวจมาเลเซียจับกุมฝ่ายสนับสนุนปฏิรูปการเลือกตั้งในมาเลเซียก่อนการประท้วงใหญ่http://www.prachatai3.info/journal/2011/06/35664
- Malaysia: Free 30 Peaceful Political Activists http://www.hrw.org/en/news/2011/06/27/malaysia-free-30-peaceful-political-activists

ดังนั้นเรานักกิจกรรม นักศึกษา ประชาชนไทยจึงนัดหมายกันชุมนุมและยื่น จม.ประท้วงต่อรัฐบาลมาเลเซีย ต่อการปราบปรามดังกล่าว
ที่ หน้าสถานทูตมาเลเซีย ประจำกรุงเทพ สำนักงานตั้งอยู่ที่ 33-35 ถนนสาธรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาธร ดูแผนที่ได้ที่ http://www.auramsiam.com/panteethai/show_place.asp?pid=3637
ในวันที่ 1 ก.ค.54 เวลา 11.00-12.00 น.

เพื่อ
1. ประณามตำรวจและรัฐบาลมาเลเซียในการปราบปรามนักเคลื่อนไหวทางสังคมมาเลเซียดังกล่าว
2. เพื่อเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีและปล่อยตัวนักกิจกรรมทั้ง 31 คนเหล่านั้น
3. เพื่อเรียกร้องให้ยุติการใช้ ม.122 ในการทำลายการทางการเมือง และสนับสนุนเสรีภาพในการพูดและการแสดงออกของประชาชน
4. เพื่อแสดงจุดยืนที่เห็นด้วยกับกลุ่ม กลุ่ม Bersih ในการเรียกร้องการเลือกตั้งที่สะอาด คือเสรีและเป็นธรรม

กิจกรรม
1. ยื่นจดหมาย
2. ปราศรัย
3. การแสดงละครเชิงสัญญาลัก
4. เสนอได้เลยครับ 
------------ตัวอย่าง จดหมาย ร่างโดยศร (Charles Tou)-----------
Memorandum

To the Prime Minister of Malaysia, Dato' Sri Mohd Najib bin Tun Abdul Razak

We, human rights organisations, activists, students and people of Thailand hereby condemn Malaysian police and government for suppression of Malaysian social activists who are running 

Free and Fair Elections Campaign (Bersih 2.0). As the rights to peaceful assembly is protected in the Universal Declaration of Human Rights and should be respected by the governments all 

over the world. The action of the police in Penang and Kepala Batas to the members of Malaysian Socialist Party (PSM) is considered harsh as they were accused for waging war against the 

monarch which contains the maximum punishment of life imprisonment according to Section 122 of Malaysian Penal Code. 

We understand that Malaysian government needs to sustain the national security, but all the activists have done is campaigning for changes in elections, the concerned laws and the 

government's opinion on the freedom of political speech. The campaign may criticise the government, but that is a lawful action in democratic countries in the world. The national security and 

the government's stability should be clearly separated. Just the symbols of ex-Communist Party of Malaya's members should not be considered as an attempt to overthrow the regime, as 

Malaysian government has signed Hat Yai Peace Accord in 1989.

The recent police charge at NGO's offices and arrest of people wearing the symbol of Bersih 2.0 shall be denounced by the global society. Some of the detainees in Penang has stated that 

they were abused by the officers, which the government should be responsible for.

Therefore, we hereby request Malaysian government and the police to release the detainees from Bersih 2.0 campaign unconditionally or at least drop the accusation of waging war against 

the monarch on them. The peaceful assemblies and demonstrations shall be permitted as they should not be considered as harmful to the national security. We are looking forward to your 

cooperation as this can determine the future and the sustainability of human rights in the Southeast Asia region.

-------------
สอบถามรายละเอียดได้ที่
ภาษาไทย บัส 089-2583641
Contact in English. : 
Charles Tou https://www.facebook.com/s.tovivich
Kaptan Jng https://www.facebook.com/Kaptan.J
Pimsiri MoOk Petchnamrob https://www.facebook.com/profile.php?id=508488243
Pat Sae-eaw https://www.facebook.com/mhonism

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

1 ปี ความยุติธรรมที่หายไป ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณีเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553 (ศปช) ณ ห้องประชุมอาคารเอนกประสงค์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2554:






ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม
กรณีเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553 (ศปช)
ณ ห้องประชุมอาคารเอนกประสงค์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2554:

1 ปี ความยุติธรรมที่หายไป(6):








วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขยายรถไฟฟ้าสีเขียวถึง"คูคต"�ใช้งบฯเพิ่มขั้นต่ำ1.34 หมื่นล้าน เลี่ยงใช้ดอนเมืองทหารห่วงมั่นคง

 แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้หารือร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เพื่อพิจารณาปรับแบบก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ เบื้องต้นได้ปรับแบบก่อสร้างในบริเวณอนุสาวรีย์หลักสี่ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงการก่อสร้างอื่น เช่น การก่อสร้างทางข้ามอนุสาวรีย์ฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู รวมถึงปรับแบบเสาตอม่อให้เหมาะสมกับพื้นที่และให้มีผลกระทบกับการจราจรและประชาชนในพื้นที่น้อยที่สุด ขณะเดียวกันได้ปรับแบบก่อสร้างและขอขยายโครงการก่อสร้างออกไปจนถึงคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพิ่มระยะทางอีก 6.7 กิโลเมตร (กม.) ก่อสร้างเพิ่มอีก 2 สถานี โดยหลังจากนี้จะเสนอกระทรวงฯพิจารณาเห็นชอบต่อไป 

 

แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่ขอขยายทางถึงคูคตเพราะไม่สามารถใช้พื้นที่บริเวณดอนเมืองก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและพื้นที่จอดรถไฟฟ้า เพราะทางทหารเกรงว่าจะกระทบกับความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากอยู่ใกล้กองทัพอากาศ �การปรับแผนการก่อสร้างใหม่ ทำให้เส้นทางรถไฟฟ้าสายนี้ยาวขึ้น วงเงินการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อย กม.ละ 2,000 ล้านบาท (หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1.34 หมื่นล้านบาท) และระยะเวลาการก่อสร้างล่าช้าออกไปอีก จึงต้องหารือกับกระทรวงคมนาคมว่าจะมีนโยบายอย่างไร จะให้เดินหน้าพร้อมกับโครงการเดิม หรือต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาใหม่�


 

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี มูลค่า 3.4 หมื่นล้านบาท ระยะทาง 34.5 กม. อยู่ระหว่างต่อรองราคาว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา คือ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ 

แมเนจเมนท์ จำกัด จาก 80 ล้านบาท ให้เหลือ 34.15 ล้านบาท คาดว่าภายในเดือนกรกฎาคมนี้จะสามารถลงนามว่าจ้าง และในต้นปี 2555 จะเริ่มประกาศขายเอกสารประกวดราคาได้ �รถไฟฟ้าสายนี้กระทรวงคมนาคมได้บรรจุอยู่ในแผนเร่งด่วนระยะแรกให้แล้วเสร็จในปี 2558-2559 เพื่อเป็นโครงข่ายรองรับกับการเปิดใช้ศูนย์ราชการกรุงเทพแจ้งวัฒนะ โดยปรับรูปแบบใหม่จากรถไฟฟ้าขนาดหนักเป็นรถไฟฟ้าขนาดเบาแบบยกระดับ (โมโนเรล) และเตรียมลงพื้นที่เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและเร่งรัดออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินต่อไป�


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308985954&grpid=03&catid=05&subcatid=0504

เปิดบ้านหลังงาม"บิ๊กบัง" ในค่ายทหาร เผย"ศัตรูถาวร 3 อย่าง ที่ต้องระวัง!!!

 

เปิดบ้านหลังงาม"บิ๊กบัง" ในค่ายทหาร เผย"ศัตรูถาวร 3 อย่าง ที่ต้องระวัง!!!


วันที่ 04 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 15:19:22 น.





บ้านพักและรถหรู
 


บ้านพักในค่ายทหาร
 


ห้องรับแขกบรรยากาศสบายๆ 



ห้องรับประทานอาหาร 20 ที่นั่ง
 





ก่อนรัฐประหาร
 


นายกฯกับผบ.ทบ.
 


บทบาทหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ
 

4 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549     พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก  อดีตผู้นำ คมช. และอดีตรองนายกรัฐมนตรี  ให้สัมภาษณ์  ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา  ช่อง"ทีวีไทย" เมื่อค่ำวันที่ 3   กุมภาพันธ์   ยืนยันว่า  รัฐประหาร 19 กันยายน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...ต้องทำ 
       

บิ๊กบัง ฟันธงว่า การเมืองไทย  เสียหาย เพราะ"คน" ไม่ใช่"ระบบ"   
       

การรัฐประหาร 19 กันยายน ส่งผลดีต่อการเมืองไทยมากกว่าผลเสีย   
       

นี่คือ ความเชื่อมั่นจนถึงวันนี้ของผู้กระทำการรัฐประหาร 
       

แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ....  ไม่เชื่อเช่นนั้น 
       

ผู้ถูกรัฐประหาร  ออกมาแฉว่า      การรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน คนไทยไม่ได้อะไรเลย  นอกจากได้เศรษฐีใหม่ส่วนใหญ่เป็นยศพลเอกและได้ทหารที่เข้มแข็งมีอาวุธมากขึ้น
       

ต่อมา พรรคเพื่อไทย  รับลูกยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบความมั่งคั่งของ พล.อ.สนธิ  บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เครือญาติ 
      

"มติชนออนไลน์"  เปิดดู กรุสมบัติของอดีตผู้นำ คมช.ที่ยื่นแสดงต่อ ป.ป.ช. ตอนรับตำแหน่งรองนายกฯ ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พบข้อมูลที่น่าสนใจ 
        

 

"บิ๊กบัง"  รวมภรรยา 2 คน ไม่ได้ทำธุรกิจ และ บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 1 คน รวม 4 คน มีทรัพย์สินรวมกันกว่า  90 ล้านบาท  ไม่รวมบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว 4 คน
         

 ย้อนไปเมื่อ วันที่  5 ต.ค. 2550  ตอนรับตำแหน่งรองนายกฯ พล.อ.สนธิแจ้งว่ามีทรัพย์สิน  38.7 ล้านบาท   นางสุกัลยา คู่สมรส คนที่หนึ่ง  14 ล้านบาท  นางปิยะดา คู่สมรส คนที่สอง  36.9  ล้านบาท  น.ส.ศศินภา บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 3 แสนบาทเศษ  รวม พล.อ.สนธิ นางสุกัลยา และน.ส.ศศินภา 53.1 ล้านบาท แต่ถ้ารวมนางปิยะด้วยเท่ากับ 90.1 ล้านบาท

 

 

ต่อมา   วันที่ 6 ก.พ.2551  ตอนพ้นตำแหน่ง ทรัพย์สินของ พล.อ.สนธิ นางสุกัลยา และน.ส.ศศินภา เพิ่มเป็น 60.1 ล้านบาท 
      

 

กระทั่งพ้นตำแหน่งครบ 1 ปีวันที่ 5 ก.พ. 2552  ทรัพย์สินของพล.อ.สนธิ นางสุกัลยา และน.ส.ศศินภา เพิ่มเป็น 62.2 ล้านบาท  น่าสังเกตว่าการยื่นบัญชีฯ 2 ครั้งหลัง พล.อ.สนธิ มิได้แจ้งทรัพย์สินของภรรยาคนที่สอง แต่อย่างใด 
    

 

หากเปรียบเทียบครั้งแรก กับ ครั้งหลัง ช่วงเวลาเพียงปีเศษ เพิ่มประมาณ 9 ล้านบาท ถือว่า"ไม่น้อย" 
    

เมื่อเจาะลึกพบว่า พล.อ.สนธิมีเงินลงทุน ได้แก่ หุ้นการบินไทย ,กองทุนเปิดทหารไทยพันธบัตร และ หุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ นสค.  รวม 11.2 ล้านบาท ไม่เปลี่ยนแปลง  แต่รายการที่เพิ่มขึ้นคือ "ที่ดิน " และ "เงินฝาก" 
    

 

เงินฝาก ตอนรับตำแหน่ง พล.อ.สนธิแจ้งว่ามี 23.5 ล้านบาท นางสุกัลยา 3.9 ล้านบาท  ตอนพ้นตำแหน่งพล.อ.สนธิมี 29.3 ล้านบาท นางสุกัลยาลดลงเหลือ 1.3 ล้านบาท ตอนพ้นตำแหน่ง 1 ปี พล.อ.สนธิมี 26.6 ล้านบาท นางสุกัลยาเพิ่มเป็น 1.6 ล้านบาท 
    

ส่วนที่ดิน ตอนรับตำแหน่ง พล.อ.สนธิแจ้งว่าไม่มี นางสุกัลยามี 1 แปลง 1.3 ล้านบาท  ตอนพ้นตำแหน่ง พล.อ.สนธิ มี 1 แปลง มูลค่า 3.3 ล้านบาท นางสุกัลยา 4 แปลง 5.2 ล้านบาท ตอนพ้นตำแหน่ง 1 ปี พล.อ.สนธิมีที่ดิน 6 แปลง 6.3 ล้านบาท ส่วนนางสุกัลยามี 4 แปลง  
    

เบ็ดเสร็จที่ดินของคนทั้งสองเพิ่มขึ้นประมาณ 9 แปลง 
    

ขณะที่ พรรคมาตุภูมิ ที่พลเอกสนธิ นั่งเป็นหัวหน้าพรรค ในรอบปี 2553 มีเงินบริจาคเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย  แม้จะไม่ก้อนโตเท่าพรรคประชาธิปัตย์ หรือ พรรคเพื่อไทย  แต่ก็มากกว่าอีกหลายพรรค 
   

 

ผู้บริจาครายใหญ่ในช่วงปี 2553  ได้แก่ นายศุภกาญจนะ หิรัญญะเวช  บริจาค  1.22  ล้านบาท นายกมลศักด์ สีวาเมาะ  บริจาค 2 แสนบาท  นายอภิชาติ สุดแสวง 2 80,000 บาท  นายอนุมัติ ชูสารอ 280,000 บาท  และนางอัมพร อิ่มสกุล  บริจาค กว่า 1.2 ล้านบาท 
     

 

 แต่ใครจะเชื่อว่า พลเอกสนธิ เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพียงคนเดียว ที่มีบ้านพักหลังงามตั้งอยู่ในค่ายทหาร !!!
    

ต้นกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นิตยสาร WHO ?  นำเสนอบทสัมภาษณ์"บิ๊กบัง"ใน บ้านพักหลังงามย่านพหลโยธิน
   

 

สิ่งที่น่าตื่นใจคือ  ในโรงรถและรอบบ้าน มีรถหรูจอดอยู่หลายคัน ...บางคันยังป้ายแดง 
   

 

จริง ๆ แล้ว  บ้านพักหลังงามหลังนี้จะมิใช่ กรรมสิทธิ์ของ พล.อ.สนธิ แต่เขาก็พำนักมาแล้วร่วม 3 ปี ด้วยเป็นหนึ่งในบ้านพักของ 5 เสือ ทบ. (ผู้บัญชาการทหารบก รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก 2 นาย เสนาธิการทหารบก) ซึ่งสร้างเสร็จไปแล้ว 4 หลัง 
   

 

บ้านแต่ละหลังจะมีภาพสนามกอล์ฟกว้างสุดลูกหูลูกตาเป็น "หลังบ้าน" ซึ่ง พล.อ.สนธิชี้ชวนชม พลางว่า หากเป็นยามเช้าด้วยแล้วมักจะต้องหยิบกล้องคู่ใจขึ้นมาบันทึกภาพไว้ไม่ขาด จากนั้นก็จะใช้เป็นฉากหลังสำหรับกาแฟถ้วยโปรดและหนังสือพิมพ์ในมือทุกเช้า
   
     

 "ผมถึงได้บอกกับทุกๆคนว่า อย่าไปเอาความทุกข์มาใส่ตัว ผมเองไม่เคยมีความทุกข์ ปล่อยวางได้ แม้จะผ่านเรื่องราวอึมครึมมาก็ไม่เคยมีความทุกข์ ใครเห็นผมเมื่อวันที่ 19 กันยายน  49 (วันที่ทำรัฐประหาร)   ผมยังหัวเราะ ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม จะไปซีเรียสทำไม อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด "
   
 

 

" ทุกวันนี้กิจวัตรที่ผมต้องทำคือการเรียนหนังสือปริญญาเอก ยิ่งตอนนี้เรียนหนักมาก ถ้ากลางคืนไม่มีงานอะไรก็ต้องดูหนังสือ แล้ววิถีชีวิตประจำวันของผมเป็นคนตื่นเช้า จะนั่งดื่มกาแฟแก้วหนึ่ง พร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนอินเทอร์เน็ตตอนนี้ไม่ค่อยได้เล่นเท่าไร เพราะต้องทุ่มเวลาให้กับการเรียน "
   
 

"ที่ผ่านมาอาจมีคนกลั่นแกล้งกันบ้าง เป็นสิ่งที่ต้องระวังไม่ให้เกิด ส่วนศัตรูที่เป็นศัตรูถาวร 3 อย่าง จะต้องไม่ให้เกิดเด็ดขาด คือ 1.เรื่องผู้หญิง 2.เรื่องอำนาจ 3.เรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องผู้หญิงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่สอนผมมา การขัดแย้งเรื่องผู้หญิงคือศัตรูถาวร เช่น เรากับเพื่อนชอบผู้หญิงคนเดียวกัน เราตัดปัญหาอย่างไปแย่งเขา(ซี) เพราะถ้าแย่งเรื่องผู้หญิงก็จะเป็นศัตรูถาวร เขาว่าถ้าเป็นศัตรูที่เกิดจากความอิจฉาจะเป็นศัตรูชั่วคราว ผมมีภาษิตไว้ท่องขึ้นใจคือ จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย ไม่มีใคร อยากเห็น เราเด่นเกิน"

  

 

สำหรับนโยบายของพรรคมาตุภูมิ     พลเอกสนธิ แจกแจงผ่าน นิตยสาร WHO ?  ว่า   "การแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการเสนอตั้งทบวงการบริหารกิจการชายแดนภาคใต้ โดยมีรัฐมนตรีทบวงนั้นเป็นผู้ดูแล "

   

 

"นโยบายของพรรคเราคือหยิบเงื่อนไขของประเทศในเวลานี้มากำหนดตัวนโยบาย เช่น ตอนนี้ประเทศไทยมีความขัดแย้งทางสังคม หลักที่ 1 เราต้องสร้างความรักและความผูกพัน ความสมานฉันท์ ความปรองดองในชาติ ปัญหาที่เป็นวิกฤต ในขณะนี้คือ ประชานิยมเรื่องความเหลี่ยมล้ำทางสังคม นโยบายของเราก็คือถ้าเราต้องการที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นประชาธิปไตย อย่างแรกเราต้องทำให้สังคมมีความเสมอภาคกัน จะทำยังไงให้คนจน-คนรวย ลงมาหากันได้ง่ายขึ้น    ผมยืนยัน เรื่องพวกนี้ถ้าเราทำให้ประชาชนได้มีความเข้าใจ มันก็จะทำได้เร็ว "

   

 

ผมขอยกตัวอย่าง ประเทศไทยเราประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ถ้าเกษตรกรมีนา 1 ไร่ สมมติว่าผลิตข้าวได้ 50 ถัง ทำนามาเป็น 20 ปีก็ยังได้แค่ 50 ถัง เราจะทำอย่างไรให้เขามีความรู้มากขึ้น ลงทุนน้อยลง แต่ได้ข้าว 80 ถัง นโยบายของเราทำยังไงให้มีคนรวยมากขึ้น ทำอย่างไรให้คนมีการศึกษาเพิ่มขึ้น เมื่อคนมีความรู้มากขึ้น ความฉลาดของคนก็จะเพิ่มสูงขึ้น จะได้นำความรู้ไปพัฒนาอาชีพของเขาได้มากขึ้น"
     
   

พรรคการเมืองมักจะมาควบคู่กับเงินที่ต้องใช้ ต้องทุ่ม "บิ๊กบัง" คิดอย่างไร

    

 

 "ผมขอเรียกเงินตรงนี้ว่างบประมาณ ซึ่งในระเบียบของ กกต. คนหนึ่งก็ใช้เงินได้ไม่มาก แต่มันมีวิธี การที่เรามีเงินน้อย กับที่เราทำให้คนมาเลือกเรามากๆ ได้นั้นมีหลายวิธี เราต้องอธิบายให้กับคนที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ให้มองให้เห็นว่าคนที่มีเงินมากกว่านั้นมีผลดี ผลเสียอย่างไร แต่เรามีแต่อุดมการณ์ มีความคิดที่จะแก้ปัญหาชาติ ต้นทุนก็จะลดลง และความรัก ความสงสารกับเราก็จะมีมากขึ้น"

   

 

" ผมไม่เกี่ยวกับการทำงานข้ามกลุ่ม ข้ามสี หากแต่เป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติ"

     

 

" ใครอยู่ใกล้ก็ต้องรักผม" พลเอกสนธิ ยืนยัน

 

( ภาพและบทสัมภาษณ์ บางส่วนจาก  นิตยสาร WHO ? เดือนกุมภาพันธ์ 2554 )


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1296804251&grpid=01&catid=02

ตามไปดู บ้านบิ๊กบัง ในค่ายทหาร ราบ 11 วิจารณ์แซดกระทบภาพลักษณ์กองทัพ

ตามไปดู บ้านบิ๊กบัง ในค่ายทหาร ราบ 11 วิจารณ์แซดกระทบภาพลักษณ์กองทัพ


วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:18 น.





หนึ่งในบ้านพัก 5 เสือทบ.
 


ห้องรับแขกสุดหรู
 


ห้องประชุม ?
 


เกษียณปี 2550
 


จากกรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ใช้บ้านพักรับรองภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.)  เป็นที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง จนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพบก   ทั้งๆ ที่  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ให้นโยบายว่า กองทัพจะไม่ยุ่งกับการเลือกตั้ง และจะให้สิทธิทุกพรรคเท่าเทียมกันในการหาเสียงในพื้นที่หน่วยทหาร

 

 

ขณะที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ กล่าวชี้แจงว่า   การพักอาศัยที่บ้านภายใน ร.11 รอ. ได้ทำหนังสือขออนุญาตอย่างถูกต้องจากกองทัพบก และการที่เป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบกทำให้มีพี่น้อง เพื่อน มาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยใช้บ้านหลังนี้ทำกิจกรรมหรือเคลื่อนไหวทางการเมือง หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานการเมืองแล้ว ตนจะใช้สถานที่ที่ทำการพรรค

 

 

ก่อนหน้านี้ ต้นกุมภาพันธ์  2554  นิตยสาร WHO ?  นำเสนอบทสัมภาษณ์"บิ๊กบัง"ใน บ้านพักหลังงามย่านพหลโยธิน
   

 

สิ่งที่น่าตื่นใจคือ  ในโรงรถและรอบบ้าน มีรถหรูจอดอยู่หลายคัน ...บางคันยังป้ายแดง
   

 

 จริง ๆ แล้ว  บ้านพักหลังงามหลังนี้จะมิใช่ กรรมสิทธิ์ของ พล.อ.สนธิ แต่เขาก็พำนักมาแล้วร่วม 3 ปี ด้วยเป็นหนึ่งในบ้านพักของ 5 เสือ ทบ. (ผู้บัญชาการทหารบก รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก 2 นาย เสนาธิการทหารบก) ซึ่งสร้างเสร็จไปแล้ว 4 หลัง 
   

 

บ้านแต่ละหลังจะมีภาพสนามกอล์ฟกว้างสุดลูกหูลูกตาเป็น "หลังบ้าน" ซึ่ง พล.อ.สนธิชี้ชวนชม พลางว่า หากเป็นยามเช้าด้วยแล้วมักจะต้องหยิบกล้องคู่ใจขึ้นมาบันทึกภาพไว้ไม่ขาด จากนั้นก็จะใช้เป็นฉากหลังสำหรับกาแฟถ้วยโปรดและหนังสือพิมพ์ในมือทุกเช้า.

 




http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306494489&grpid=01&catid=80&subcatid=8004

 

ศปช.แถลงหากเหตุ "เม.ย.-พ.ค. 53" ปราศจาก "ความจริง" "ปรองดอง-นิรโทษกรรม" ก็แค่เหยียบย่ำคนตาย

 

ศปช.แถลงหากเหตุ "เม.ย.-พ.ค. 53" ปราศจาก "ความจริง" "ปรองดอง-นิรโทษกรรม" ก็แค่เหยียบย่ำคนตาย


วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 17:11:53 น.


กลุ่มญาติวีรชน เมษา-พฤษภา 53 อ่านแถลงการณ์
 




เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ได้แถลงจุดยืนของ ศปช. ต่อประเด็น "ความจริง" และ "ความยุติธรรม"  vs "ปรองดอง" และ"นิรโทษกรรม"โดยอ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเวทีอภิปรายเรื่อง "1 ปี เหตุการณ์ 1 เม.ย.-พ.ค. 53 ความยุติธรรมที่หายไป"


อ.พวงทอง ประกาศแถลงการณ์ว่า "ไม่มีความจริงก็ไม่มีความยุติธรรม ปราศจากความยุติธรรม การปรองดอง-นิรโทษกรรม ก็เป็นแค่การสมรู้ร่วมคิดกันเหยียบย่ำคนตาย"


ยิ่งใกล้เลือกตั้ง เสียงเรียกร้องหาความปรองดองโดยกลุ่มต่างๆ ก็ดังเซ็งแซ่ควบคู่ไปกับเรื่องนิรโทษกรรม แม้จะไม่มีความชัดเจนนักว่าหมายถึงอะไรกันแน่ ใครปรองดองกับใคร ใครบ้างได้นิรโทษกรรม ในความผิดเรื่องอะไร ฯลฯ ศปช. ก็เห็นความสำคัญที่สังคมไทยจะต้องมีความปรองดองเช่นกน ศปช. จึงขอเข้าร่วมมหกรรมการปรองดองด้วยข้อเสนอดังต่อไปนี้


บทเรียนจากวิธีสร้างความปรองดองในอดีตที่ผ่านมาในสังคมไทยชี้ว่า ความปรองดองหมายถึง "การลืม" หรือ "ความเงียบงัน" ต่อความอยุติธรรม ความเจ็บปวด และความสูญเสียที่ผู้มีอำนาจรัฐกระทำต่อประชาชน เพื่อแลกกับ "ความมั่นคง" ของระบอบอุปถัมภ์ค้ำชูและสนับสนุนความรุนแรงต่อประชาชนความรุนแรงทางการเมืองหลายครั้งหลายหน จึงจบลงด้วยการนิรโทษกรรมให้กับผู้อยู่เบื้องหลังการปราบปรามประชาชน เปลี่ยนอาชญากรมของรัฐต่อประชาชน ให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ใครที่พยายามขุดคุ้ยเรียกร้องหาความจริงและความยุติธรรม จะถูกตราหน้าว่าเป็นพรรคชอบสร้างความแตกแยกปั่นป่วนให้กับสังคม


ความเงียบ การยอมจำนน และความพ่ายแพ้ของเหยื่อจึงเป็นด้านมืดของการปรองดอง รัฐบาลตอบแทนพวกเขาด้วยเศษเงิน พร้อมประกาศว่านี่คือ "การเยียวยา" ผู้มีอำนาจทำราวกับว่าบาดแผลและความตายสามารถลบล้างได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยสังคมไทยช่างโอบอุ้มและชาชินกับวัฒนธรรมแห่งการปล่อยให้ผู้กระทำความผิดที่มีอำนาจลอยนวล (culture of impunity) ได้อย่างไม่น่าเชื่อ


ในสังคมอื่นที่เคยประสบความรุนแรงทางการเมืองโดยรัฐเช่น แอฟริกาใต้ อาร์เจนติน่า ฯลฯ การสร้างความปรองดองล้วนต้องเดินควบคู่ไปกับการคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อ อย่างน้อยที่สุด ความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่จะต้องมีให้ได้ คือ การเปิดเผยความจริงว่าใครคือผู้กระทำและอยู่เบื้องหลังอาชญากรรมต่อประชาชน แต่ในกรณีของไทย ความปรองดองไม่เคยเกิดขึ้นบนฐานความยุติธรรมและความจริงแม้แต่ครั้งเดียว


ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มักกล่าวว่า รัฐบาลของตนยึดหลักนิติรัฐ "พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนพร้อมๆ ไปกับการค้นหาความจริงผ่านกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายบนความเสมอภาคที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน" แต่สิ่งที่ผิดปกติอย่างยิ่งก็คือ จนกระทั่งบัดนี้ กระบวนการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดดูจะถูกเตะถ่วงและบิดเบือน โดยเฉพาะในกรณี ที่มีมูลว่า เจ้าหน้าที่รัฐเป็นฝ่ายกระทำให้ประชาชนเสียชีวิต ซ้ำร้ายรัฐบาลยังโยนความผิดทั้งหมดให้กับคนชุดดำและผู้ชุมนุม ทั้งที่ความจริงที่รับรู้กันคือ กองทัพใช้กำลังพลและอาวุธสงครามจำนวนมากมายมหาศาลเพื่อสลายการชุมนุมครั้งนี้ทั้งๆ ที่จนบัดนี้ รัฐบาลไม่สามารถให้ข้อมูลได้มากไปกว่าภาพของชายชุดดำไม่กี่คนที่ปรากฎในคืนวันที่ 10 เม.ย. 2553 ทั้งๆ ที่รัฐบาลไม่สามารถแสดงหลักฐานได้ว่า พลเรือนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บรวมแล้ว 1,400 รายเป็นอย่างน้อยนั้น ครอบครองอาวุธไว้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ฯลฯ แต่รัฐบาลก็ยังยืนกรานเสียงแข็งว่าตนไม่ได้ปราบปรามประชาชน


ในทางตรงกันข้าม มีแต่ฝ่ายผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาร้ายแรงและจำนวนมากถูกปฏิเสธขั้นพื้นฐานที่จะได้รับประกันตน "ความยุติธรรมแบบด้านเดียว" นี้จึงเป็นเสมือนการใช้อำนาจรัฐกดปราบปรามประชาชนซ้ำสองภายใต้ข้ออ้าง "นิติรัฐ" อันฉาบฉวยและสองมาตรฐานอย่างชัดเจน


นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเศร้าใจไม่น้อย คือ หนึ่งปีนับแต่การปราบปรามประชาชน กระบวนการค้นหาความจริงของทั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ไม่สามารถเรียกศรัทธาจากประชาชนได้เลย กลายเป็นองค์กรปิดที่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อประชาชน และยังไม่สามารถรายงานความคืบหน้าของการแสวงหาความจริงที่น่าเชื่อถือแก่ประชาชน หรือไม่ก็เฉื่อยชาต่อกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นได้อย่างร้ายแรง ในขณะที่พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า สังคมต้องรับรู้ "ความจริง" และมี "ความยุติธรรม" แต่ดูเหมือนพวกเขาไม่สามารถสลัดหลุดออกจากความปรองดองแบบไทยๆ ที่มุ่งปกป้องสถาบันอำนาจในสังคมเป็นสำคัญ


ฉะนั้น ศปช. จึงขอประกาศว่า เราไม่ได้ปฏิเสธการปรองดอง แต่การแสวงหาความปรองดองใดๆ หลังการเลือกตั้งจะต้องควบคู่ไปกับการสถาปนาความจริง และคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปราบปรามปี 2553 ด้วย หากไม่มี "ความจริง" และ "การยอมรับผิด" (accountabillity) จากผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามประชาชน การนิรโทษกรรมก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ การปรองดองที่ปราศจากความยุติธรรมย่อมไม่ต่างอะไรกับการช่วยกันเหยียบย่ำศพและกระหน่ำตีบาดแผลของผู้สูญเสีย


ศปช. ขอย้ำว่าวัฒนธรรมแห่งการปล่อยให้ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจลอยนวล และการเหยียบย่ำสิทธิในชีวิตและความเป็นคนจะต้องยุติลงในสังคมไทย


ด้านกลุ่มญาติวีรชน เมษายน-พฤษภาคม 53 ได้อ่านแถลงการณ์ในงานสัมนาเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองเร่งดำเนินการด้วยหน่วยงานที่เป็นกลาง เร่งสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ความยุติธรรมเดินหน้า พร้อมเรียกร้องให้รับประกันว่าจะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมกับอาชญากรที่ทำให้เกิดความสูญเสีย รวมไปถึงให้มีการเยียวยา ช่วยเหลือ อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ให้กับผู้เสียหายทุกฝ่ายในเหตุการณ์ และสร้างกระบวนการประชาชนในการทำงานทุกภาคส่วนด้วย


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308996936&grpid=01&catid=&subcatid=